Anneliese Michel : ผีเข้าหรือแค่ไม่สบาย

Anneliese Michel: ผีเข้าหรือแค่ไม่สบาย


Anneliese Michel


Anneliese Michel สำหรับคนไทยอาจไม่รู้จักเธอ แต่ในต่างประเทศนั้นเธอเป็นที่โด่งดังมาก เพราะเธอเป็นคนเดียวในโลกที่มีอาการที่เรียกเป็นภาษาไทยว่า ผีเข้า ได้ชัดเจนและยาวนานหลายปีจนกระทั่งเธอเสียชีวิต

อันเนลีส มิเชล เกิดเมื่อวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1952 ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในแคว้นบาวาเรีย ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเยอรมนี อันเนลีสเป็นลูกคนที่ 2 ของ โจเซฟกับอันนา มิเชล และพี่น้องอีก 4 คนของเธอล้วนแต่เป็นผู้หญิงทั้งสิ้น ในปัจจุบันมีเพียง 3 คนเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ ตามประวัติบอกไว้ว่าโจเซฟกับอันนาเป็นคาธอลิกที่เคร่งครัดอย่างมาก ตัวโจเซฟเองก็เคยคิดที่จะศึกษาบวชเรียนเป็นพระ นอกจากนั้นพี่น้องผู้หญิงของทั้งตัวเขาและฝ่ายภรรยาก็อุทิศตัวให้ศาสนา ดำรงตนเป็นนางชีรวมแล้วถึง 3 คนด้วยกัน


ในปี ค.ศ. 1948 ก่อนอันเนลีสเกิด 4 ปี อันนาเกิดตั้งท้องนอกสมรส สร้างความเสื่อมเสียให้วงศ์ตระกูลอย่างยิ่ง เล่ากันว่าครอบครัวถึงกับบังคับให้เธอสวมชุดดำเพื่อไว้ทุกข์ให้แก่ศีลธรรมของตนเองในวันแต่งงาน และนับจากวันนั้นเป็นต้นมา ความรู้สึกผิดต่อบาปกรรมที่ทำไปในครั้งนั้นก็ไม่เคยห่างหายจากใจของเธอเลย ผลจากความรู้สึกผิดบาปของอันนาไปตกอยู่กับอันเนลีสซึ่งเป็นลูกคนที่สอง

ผู้สนับสนุน

อันนาใช้ความผิดพลาดของตนเป็นบทเรียนสอนสั่งอันเนลีสให้ตระหนักถึงผลกรรมของการทำบาปไม่เว้นแต่ละวัน อีกทั้งยังกระตุ้นให้ลูกสวดมนต์ขอพรชำระบาปอย่างสม่ำเสมอ โดยหวังว่ามันจะเป็นการล้างบาปให้ตนเองได้ ไม่ว่าอันนาจะคาดไว้หรือไม่ก็ตาม สิ่งที่เธอพร่ำสอนอันเนลีสส่งผลให้เด็กหญิงรู้สึกผิดบาปในระดับที่ทัดเทียมกันกับผู้เป็นแม่ ทั้งที่ไม่ได้เป็นผู้ก่อ ยิ่งเมื่อลูกสาวคนโตซึ่งเกิดจากการตั้งครรภ์นอกสมรสในคราวนั้นเสียชีวิตในอีกไม่กี่ปีต่อมา (ขณะนั้นอันเนลีสอายุได้ 4 ขวบ) จากการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดเนื้องอกในตับ ก็ยิ่งทำให้ความรู้สึกผิดในหัวใจของอันเนลีสทวีคูณสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว ในช่วงวัยรุ่นขณะที่เด็กหนุ่มสาวรุ่นราวคราวเดียวกันกำลังร่าเริงอยู่กับเสรีภาพที่ได้มาพร้อมกับวันและวัย สนุกกับการได้แหกกฎเกณฑ์ต่างๆ แต่อันเนลีสกลับต้องใช้เวลาทุกค่ำคืนหลับนอนบนพื้นหินแข็งๆ เพราะเชื่อว่านั่นจะเป็นการไถ่บาปแทนพวกจรจัด ติดยา บาปหนา ซึ่งพบเห็นได้ทั่วไปตามที่สาธารณะต่างๆ แม้ว่าตัวเธอเองจะไม่รู้จักกับคนพวกนั้นแม้แต่น้อย

จุดเริ่มต้นอันจะนำไปสู่จุดจบที่เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานของอันเนลีส เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1968 ขณะที่เธออายุได้ 16 ปี แรกเริ่มหญิงสาวเกิดอาการสั่นอย่างรุนแรงเป็นครั้งคราว พ่อแม่ของเธอตัดสินใจพึ่งพาการแพทย์สมัยใหม่ในระยะแรก ผลการวินิจฉัยบ่งชี้ว่าเธอเป็นโรคลมบ้าหมูชนิดร้ายแรง หมอจ่ายยาให้ …แต่อาการของเธอก็ไม่ดีขึ้น

ตลอด 5 ปีหลังจากนั้น คือการเดินเข้าเดินออกคลินิกต่างๆเป็นว่าเล่น ยาขนานแล้วขนานเล่าถูกสั่งจ่ายให้แก่อันเนลีส ยาบางตัวได้รับการวิเคราะห์ภายหลังการเสียชีวิตของเธอว่าก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกาย แต่ไม่ว่าจะอย่างไรยาทุกขนานเหมือนกันหมดตรงที่ไม่สามารถช่วยให้เธอหายขาดจากอาการชักของเธอได้ การแพทย์ที่ล้มเหลวรวมกับความเชื่อทางศาสนาที่เคร่งครัดอยู่เป็นทุน ส่งผลให้อันเนลีสเริ่มเชื่อว่าตัวเองถูกภูตผีปีศาจร้ายเข้าสิง เธอบอกใครๆ ว่า เธอเห็นใบหน้าปีศาจร้ายอยู่ล้อมรอบและเธอได้ยินเสียงสาปแช่งของพวกมัน

นอกจากนั้นเธอยังแสดงอาการแปลกๆ อีกหลายอย่าง เช่น ครั้งหนึ่งในระหว่างที่เธอเดินทางแสวงบุญ หญิงชราคนหนึ่งซึ่งร่วมเดินทางกับเธอ บอกว่าเธอเห็นอันเนลีสหลบเลี่ยงที่จะเดินผ่านรูปภาพพระเยซู และปฏิเสธที่จะดื่มน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ภายในโบสถ์ อีกทั้งเธอยังได้กลิ่นผีชั่วเหม็นสาบสางจากร่างของอันเนลีส แน่นอนว่าทั้งหมดนั้นทำให้โจเซฟและอันนาซึ่งพร้อมที่จะเชื่ออยู่แล้ว ยิ่งมั่นใจว่าลูกสาวถูกผีเข้าเป็นแน่ ทั้งสองจึงไม่รอช้า แสดงความจำนงต่อบาทหลวงประจำโบสถ์ในหมู่บ้านขอให้ประกอบพิธีไล่ผีให้อันเนลีสทันที

ครั้งแรกที่มีการขออนุญาตประกอบพิธีไล่ผีแก่อันเนลีส คือ ในปี ค.ศ. 1974 (ข้อมูลบางแห่งระบุว่า ปี ค.ศ. 1973) โดยมีบาทหลวง เอิร์นส์ต อัลต์ เป็นผู้ยื่นคำร้อง แต่ท่านบิชอปแห่งวูซบรูก ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจกลับปฏิเสธ ทั้งยังแนะให้อันเนลีสปฏิบัติตนเป็นคาธอลิกที่เคร่งครัดมากขึ้นกว่าเก่า หลายเดือนต่อมามีการยื่นคำร้องซ้ำอีกครั้ง …แต่ก็ต้องถูกปฏิเสธซ้ำอีก

ในระหว่างนั้นพฤติกรรมของอันเนลีสยิ่งแปลกประหลาดและหนักข้อ เธอเริ่มด่าทอ ทุบตีและจิกกัดสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัว ปฏิเสธที่จะกินอาหาร แต่หันไปยังชีพด้วยการกินแมลงวัน แมงมุม ถ่านหิน ดื่มปัสสาวะตัวเองแทนน้ำสะอาด แทะทึ้งซากนกจนหัวมันหลุดจากร่าง ฉีกทึ้งเสื้อผ้าตัวเองเป็นว่าเล่น เห่าหอนราวกับสุนัขเป็นวัน กรีดร้องไม่รู้จักเหนื่อยนานนับชั่วโมง

นอกจากนั้นในช่วงที่ได้สติสัมปชัญญะกลับคืนมา อันเนลีสก็ตกอยู่ในภาวะหดหู่ซึมเศร้าอย่างรุนแรง บางทีบางหนเธอคิดที่จะฆ่าตัวตายไปให้พ้นๆ สถานการณ์ที่นานวันก็ยิ่งแย่ จึงส่งผลให้คำร้องขอประกอบพิธีไล่ผีครั้งที่ 3 ได้รับอนุญาต

พิธีไล่ผีครั้งแรกเริ่มขึ้นในเดือนกันยายน ค.ศ. 1975 มีบาทหลวงเอิร์นส์ต อัลต์และหลวงพ่อ อาร์โนลด์ เรนซ์ เป็นผู้ประกอบพิธี ตามกำหนดแล้วพิธีไล่ผีนี้จะต้องทำกันสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ใช้เวลาร่วม 4 ชั่วโมงต่อครั้ง เหตุการณ์ในระหว่างประกอบพิธีนั้น แทบไม่ต่างอะไรจากที่ผู้ชมเห็นในหนังเรื่อง The Exorcist อันเนลีสดิ้นรนขัดขืนสุดแรงเกิด เรี่ยวแรงของเธอเพิ่มขึ้นมหาศาลถึงขนาดต้องใช้ผู้ชายแข็งแรงกำยำ 3 คนช่วยกันจับจึงจะเอาอยู่และบางครั้งถึงกับต้องเอาโซ่ล่ามเธอไว้

กล่าวกันว่าหลังผ่านพิธีไล่ผีไม่นาน อาการของเธอก็ทุเลาขึ้นอย่างน่าแปลกประหลาด ระยะนั้นเธอสามารถกลับเข้าเรียนได้หรือจะไปโบสถ์ก็ยังไหว อย่างไรก็ตามอันเนลีสก็ดีขึ้นเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น หลังจากนั้นอาการของเธอก็กลับเป็นเหมือนเดิมอีกและยังต้องเข้ารับการไล่ผีอย่างต่อเนื่อง

ที่ร้ายก็คือวิธีที่รุนแรงของพิธีกรรม เริ่มจะสร้างความบอบช้ำแก่ร่างกายของอันเนลีส อาการเกร็งจนไม่อาจขยับเขยื้อนหรือจู่ๆ ก็เป็นลมล้มพับหมดสติไปเริ่มเกิดกับเธอถี่ขึ้น การปฏิเสธที่จะรับอาหารกลับมาอีกครั้ง ซ้ำเธอยังบังคับตัวเองให้ถ่ายท้องอยู่บ่อยๆ โดยให้เหตุผลว่านั่นเป็นหนทางหนึ่งที่จะกำจัดปีศาจออกจากร่างกาย น้ำหนักของเธอลดวูบ ร่างกายผ่ายผอมดูเผินๆ ไม่ต่างจากโครงกระดูก มีร่องรอยฟกช้ำปรากฏให้เห็นไปทั่ว



ปลายเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1976 ผลจากการเข้าพิธีไล่ผีอย่างเข้มข้น ประกอบกับร่างกายที่อ่อนแอจากการขาดน้ำและอาหาร ก็ทำให้อันเนลีสล้มป่วยด้วยโรคปอดบวม ไข้ขึ้นสูงจนเธอไม่อาจทำสิ่งใดได้ กระนั้นก็ตาม …พิธีไล่ผีก็ยังดำเนินต่อไป การประกอบพิธีในวันที่ 30 มิถุนายน พ่อและแม่ของเธอถึงกับต้องเข้ามาช่วยพยุง ไม่เช่นนั้นลูกสาวคงไม่อาจผ่านพ้นมันได้จนตลอดรอดฝั่ง อย่างไรก็ตามนั่นก็เป็นพิธีกรรมครั้งสุดท้ายของอันเนลีส เพราะเช้าวันถัดมา เมื่อโจเซฟกับอันนาแวะเข้ามาดูอาการลูกสาวตามปรกติ ก็พบว่าเธอเสียชีวิตเสียแล้ว

รวมเบ็ดเสร็จ ภายในระยะเวลาราว 10 เดือน อันเนลีสต้องเข้าพิธีไล่ผีถึง 67 ครั้ง เล่ากันว่า ประโยคสุดท้ายที่อันเนลีสพูดกับแม่ของเธอในคืนก่อนหน้านั้น ก็คือ “แม่ … หนูกลัว” การที่หญิงสาววัยเพียง 24 ปี ต้องมาเสียชีวิตในสภาพร่างกายผ่ายผอมบอบช้ำ นับว่าเป็นเรื่องไม่ปรกติและไม่ธรรมดา หลังได้รับแจ้งเหตุ เจ้าหน้าที่รัฐจึงยื่นเรื่องขอชันสูตรศพอันเนลีสและผลการชันสูตรก็สรุปออกมาว่า เธอเสียชีวิตด้วยภาวะขาดอาหารและน้ำอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น ถ้าเพียงแต่ใครสักคนจะใส่ใจดูแลเธออย่างจริงจังกว่านี้ …ถ้าเพียงแต่ใครสักคนจะเรียกหมอมาดูอาการของเธอ ขอแค่สัปดาห์เดียวก่อนที่เธอจะเสียชีวิต

ข้อสรุปดังกล่าวส่งผลให้อัยการรัฐตัดสินใจสั่งฟ้องจำเลยทั้งสี่ อันประกอบด้วย โจเซฟกับอันนา มิเชล และบาทหลวงเอิร์นส์ต อัลต์ กับหลวงพ่อโจเซฟ เรนซ์ ซึ่งเป็นผู้ประกอบพิธีไล่ผี ด้วยข้อหากระทำการโดยประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1978 ก่อนการพิจารณาคดีจะเริ่มต้นขึ้น พ่อและแม่ของอันเนลีสขอให้มีการขุดศพลูกสาวตนขึ้นมา ก่อนที่จะฝังกลับลงไปใหม่ เหตุผลที่ให้กันไว้ก็คือ ช่วงที่อันเนลีสเสียชีวิตนั้นทั้งคู่มีเวลาตระเตรียมงานศพไม่มากนัก ทำให้เป็นต้องบรรจุร่างของลูกไว้ในโลงศพราคาถูก แต่ตอนนี้เห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้วที่จะหาโลงใหม่ทำจากไม้โอ๊คหรูหราสวยงามให้แก่ลูก อย่างไรก็ตาม …มีเรื่องเล่ากันว่าสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้นายและนางมิเชลตัดสินใจขุดศพลูกสาวขึ้นมา ก็เนื่องจากมีแม่ชีคนหนึ่งมาบอกทั้งคู่ว่านางเห็นนิมิตว่าศพของอันเนลีสนั้นยังไม่เน่าเปื่อยเสื่อมสลายอย่างที่ควรจะเป็นและนั่นถือเป็นปาฏิหาริย์โดยแท้

การพิจารณาคดีเริ่มขึ้นในวันที่ 30 มีนาคม ค.ศ. 1978 ผู้รับหน้าที่แก้ต่างให้บาทหลวงทั้งสองรูปเป็นทนายที่ได้รับการว่าจ้างจากโบสถ์ที่ทั้งคู่ประจำการอยู่ ส่วนพ่อแม่ของอันเนลีสนั้นมีตัวแทนคือ เอริช ชมิดต์-ลีชเนอร์ ทนายดังที่ก่อนหน้านี้เคยว่าความให้อดีตสมาชิกนาซีซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นอาชญากรสงครามมาแล้วหลายราย

ชมิดต์-ลิชเนอร์ ยกข้ออ้างเรื่องสิทธิที่จะประกอบพิธีการต่างๆ ตามความเชื่อทางศาสนา ซึ่งได้รับการรับรองโดยรัฐธรรมนูญมาเป็นข้อแก้ต่าง นอกจากนั้นยังเสนอหลักฐานเป็นเทปบันทึกเสียงระหว่างประกอบพิธี ซึ่งปรากฏว่าเป็นเสียงของอันเนลีสพูดจาด้วยภาษาแปลกประหลาด บางครั้งด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว บางคราวเป็นเสียงกรีดร้องโหยหวน (มีเสียงหนึ่งซึ่งพูดด้วยสำเนียง แฟรงกลิช และบาทหลวงทั้งสองรูปยืนกรานว่า นั่นคือเสียงของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ หนึ่งในปีศาจที่เข้าสิงอันเนลีส) ทั้งหมดนี้เพื่อยืนยันว่า อันเนลีส มิเชล ไม่ได้ป่วยด้วยโรคธรรมดา ทว่าเธอถูกผีเข้าจริง อย่างไรก็ตามศาลพิจารณาแล้วได้ข้อสรุปว่า คำค้านฟังไม่ขึ้น จำเลยทั้งสี่ถูกตัดสินว่ามีความผิดจริงตามที่ถูกกล่าวหาและต้องโทษจำคุก 6 เดือน แต่ให้รอลงอาญาเป็นเวลา 3 ปี หลายคนวิพากษ์วิจารณ์คำตัดสินดังกล่าวว่า ผู้ต้องหาทั้งสี่ได้รับโทษที่เบาเกินไปสำหรับความผิดที่ได้ก่อ บางคนยังสอดแทรกความเห็นของตนเพิ่มเติมเข้าไปอีกว่า คล้ายๆ ผู้พิพากษาจะเผื่อใจเอาไว้ครึ่งหนึ่ง …ก็ใครจะรู้ บางทีอันเนลีสอาจจะถูกผีเข้าจริงก็เป็นได้

สิ่งที่เกิดขึ้นกับ อันเนลีส มิเชล ส่งผลกระทบในระดับกว้างขวางเกินกว่าผู้ใดจะคาดคิด แรกสุดมันทำให้บิชอปและนักเทววิทยาหลายคนในเยอรมันรวมกลุ่มกันยื่นคำร้องต่อวาติกัน ขอให้มีการเปลี่ยนแปลงระเบียบปฏิบัติในพิธีไล่ผีเสียใหม่ ในปี ค.ศ. 1984  พวกเขาเห็นว่า ข้อที่เป็นปัญหาและสมควรได้รับการแก้ไขก็คือ ข้อที่บอกให้บาทหลวงผู้ประกอบพิธีพูดจากับปีศาจร้ายโดยตรง (ข้อความประมาณว่า “ข้าขอออกคำสั่งให้เจ้า –วิญญาณสกปรก- จงออกไปเสียเดี๋ยวนี้”) เพราะนั่นเท่ากับทำให้ผู้ถูกสิงยิ่งเชื่อถือจริงจังว่าตนถูกผีเข้าจริงๆ อย่างไรก็ตาม …ทั้งหมดกลับไม่ได้อย่างที่ขอ

ศ. 1999 – 15 ปีหลังจากคำร้องดังกล่าวถูกยื่นออกไป สำนักวาติกันก็ออกบทบัญญัติว่าด้วยการไล่ผีเสียใหม่  แต่ยังคงเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบพิธีสามารถพูดจาสื่อสารกับวิญญาณร้ายได้โดยตรง แต่บทเรียนจาก อันเนลีส มิเชล ทำให้สำนักวาติกันให้ความระมัดระวังต่อประเด็นคุณสมบัติของผู้ทำพิธีมากขึ้น โดยระบุไว้ในคู่มือฉบับใหม่นี้ว่า บาทหลวงรูปใดก็ตามที่จะประกอบพิธีไล่ผีได้ นอกจากจะต้องได้รับการฝึกฝนจนชำนาญแล้ว ยังต้องมีความรู้ด้านการแพทย์ในระดับที่เพียงพออีกด้วย

ประการถัดมา มันก่อให้เกิดผลกระทบต่อชาวเมืองคลินเกนแบร์กซึ่งเป็นที่พำนักสุดท้ายของอันเนลีสโดยตรง กล่าวกันว่า หลายคนเห็นเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นความอัปยศของเมือง ไม่มีใครอยากพูดถึงเรื่องนี้และเมื่อใดก็ตามที่ชาวเมืองเห็นคนต่างถิ่นเดินทางมาเยี่ยมเยียนเคารพหลุมฝังศพของอันเนลีส พวกเขาก็ได้แต่เฝ้ามองด้วยสายตาเป็นปรปักษ์อยู่ลึกล้ำ ยิ่งเมื่อ 2 ปีก่อนซึ่ง The Exorcism of Emily Rose ที่ใช้เรื่องของอันเนลีสเป็นแรงบันดาลใจออกฉาย ก็ยิ่งทำให้ชาวเมืองคลินเกนแบร์กกังวลใจ ไม่มีใครอยากเห็นเรื่องนี้ถูกขุดคุ้ยจนเป็นเป้าสนใจของสาธารณชนอีก …อย่างไรก็ตามความกังวลของคนที่นั่น ท้ายที่สุดก็ไม่อาจทำให้ความสนใจของผู้คนที่มีต่อเรื่องพิลึกพิลั่นของอันเนลีสเบาบางลงไปได้ เป็นเพราะหนัง The Exocism of Emily Rose อีกเช่นกัน ที่ทำให้ เอลิซาเบธ เดย์ นักข่าวประจำหนังสือพิมพ์ เทเลกราฟ ของอังกฤษ เดินทางไปสัมภาษณ์ อันนา มิเชล แม่แท้ๆ ของอันเนลีส ผู้มีบทบาทสำคัญในเหตุการณ์เมื่อ 30 ปีก่อนนั้น

ปลายปี ค.ศ. 2005 วันที่ เอลิซาเบธ เดย์ เดินทางไปสัมภาษณ์ อันนาอายุปาเข้าไป 80 กว่าปีแล้ว ใช้ชีวิตตามลำพังในบ้านหลังเดิมที่เคยเกิดเรื่องราวฝันร้ายในคราวนั้น โจเซฟผู้เป็นสามีเสียชีวิตไปเมื่อ 6 ปีก่อน ส่วนลูกสาวอีก 3 คนที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น ต่างแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง

อันนารำลึกถึงลูกสาวที่ชื่อคล้ายกันกับเธอให้เอลิซาเบธ เดย์ ฟังว่า “อันเนลีสเป็นคนอ่อนหวาน จิตใจดี อยู่ในโอวาทเสมอ แต่หลังจากที่ถูกผีสิง เธอก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน มันเป็นเรื่องเกินจะอธิบายได้” อันนายอมรับว่า เธอคิดถึงลูกสาว “ฉันมองเห็นหลุมศพลูกจากหน้าต่างห้องนี่ ฉันแวะไปเยี่ยมลูกอยู่บ่อยๆ เอาดอกไม้ติดมือไปฝากลูกด้วย”

อย่างไรก็ตาม กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น อันนา มิเชล ยืนยันว่า เธอกับสามี รวมถึงบาทหลวง ทำสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้ว

“ฉันเห็นรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ (Stigmata) บนมือของเธอและนั่นก็เป็นสัญญาณที่พระผู้เป็นเจ้าส่งมาถึงเรา บอกกับเราว่าถึงเวลาที่จะต้องกำจัดปีศาจร้ายที่สิงสู่อยู่ในร่างของอันเนลีสไปให้พ้นๆเสียที”

อันนายืนยันว่า เธอเพียงแต่ทำตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ฉะนั้นมันจึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมอยู่แล้ว เธออาจจะเศร้าที่สูญเสียลูกสาวไป แต่เธอไม่เสียใจ เพราะรู้ว่าลูกไม่ได้ตายอย่างสูญเปล่า

“ลูกของฉันตายเพื่อปกป้องดวงวิญญาณซึ่งกำลังหลงทาง เธอตายเพื่อชำระบาปให้คนบาปหลายต่อหลายคน”


Comments

Popular posts from this blog

ตำนานพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ เมอร์ลิน

Kelpies (เคลพี)

เรื่องเล่าเขย่าขวัญจาก สหรัฐอเมริกา